Stabilizer คืออะไร พร้อมหลักการทำงาน และข้อควรรู้อื่น ๆ

2024 - 07 - 31

Stabilizer คืออะไร

 

ปัญหาไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชาก ถือเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าเป็นอย่างมาก การติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการควบคุมแรงดันไฟฟ้าให้เป็นปกติอย่างเครื่อง Stabilizer จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ได้ แล้ว Stabilizer คืออะไร มีหลักการการทำงานอย่างไร และควรเลือกใช้กับอุปกรณ์ประเภทใดบ้าง หาคำตอบได้ในบทความนี้!

 

เครื่อง Stabilizer คืออะไร?

เครื่อง Stabilizer หรือที่รู้จักกันในชื่อของเครื่อง AVR ซึ่งย่อมาจาก Automatic Voltage Regulator คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ปรับเพิ่มหรือลดแรงดันไฟฟ้าจากระบบที่มีความผิดปกติ ให้มีค่าคงที่อยู่ที่ 220V เพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันไฟฟ้าที่ผิดปกติเข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าและก่อให้เกิดความเสียหาย อีกทั้งยังช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ยาวนานขึ้น

 

หลักการทำงานของเครื่อง Stabilizer

โดยหลักการทำงานของเครื่อง Stabilizer คือ การนำไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟเข้ามายังภายในตัวเครื่อง เข้าสู่วงจรควบคุมเพื่อตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าขาเข้าว่าสูงหรือต่ำกว่า 220V หรือไม่  หากแรงดันไฟฟ้าผิดปกติ วงจรควบคุมจะส่งสัญญาณไปยังระบบปรับแรงดันไฟฟ้า โดยใช้ขดลวดแม่เหล็กในการปรับแรงดันไฟฟ้าให้กลับมาอยู่ที่ 220V และกรองสัญญาณรบกวนต่าง ๆ เพื่อให้แรงดันไฟฟ้ามีความเสถียร ก่อนจะส่งไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า

 

เครื่อง Stabilizer มีส่วนประกอบอะไรบ้าง?

ภายใน Stabilizer จะประกอบไปด้วยขดลวดหลัก ๆ ทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่

 

  1. ขดลวด M (M-Winding Section)

เป็นขดลวดหลักที่ทำหน้าที่รับกระแสไฟฟ้าจากขั้ว R, S และ T เข้ามาภายใน Stabilizer

  1. ขดลวด J (J-Winding Section)

เป็นขดลวดที่ทำหน้าที่ในการปรับและควบคุมแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม

  1. ขดลวด K (K-Winding Section)

เป็นขดลวดที่ทำหน้าที่กรองสัญญาณรบกวน ทำให้แรงดันไฟฟ้าที่ออกมาเสถียรและปลอดภัย

โดยขดลวด M และ J จะรับกระแสไฟฟ้าที่เข้ามาจากขั้ว R, S และ T ในการสร้าง Magnetic Flux (ฟลักซ์แม่เหล็ก) ทำให้เกิด Magnetic Force (แรงแม่เหล็ก) ในแต่ละขดลวด เพื่อเหนี่ยวนำและควบคุมแรงดันไฟฟ้าให้สมดุล ส่วนขดลวด K จะทำหน้าที่ดูดซับฮาร์มอนิกหรือสัญญาณรบกวนในระบบไฟฟ้า และป้องกันไม่ให้ส่งผลต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า

 

ประโยชน์ของเครื่อง Stabilizer

เครื่อง Stabilizer คือ อุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อระบบไฟฟ้าทั้งในทางตรงและทางอ้อม ดังนี้

  • ช่วยให้การจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่เกิดข้อผิดพลาด
  • ช่วยให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ลดการสึกหรอจากไฟตก ไฟเกิน หรือไฟกระชาก
  • ช่วยป้องกันความเสียหายหรือการสูญเสียข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าสูง
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดไฟรั่วหรือไฟฟ้าลัดวงจร

 

เครื่อง Stabilizer

 

วิธีการเลือกใช้เครื่อง Stabilizer

โดยทั่วไปแล้ว การเลือกใช้ Stabilizer จะขึ้นอยู่กับความต้องการในการควบคุมแรงดันไฟฟ้าว่าต้องการให้มีความแม่นยำ เที่ยงตรงมากน้อยเพียงใด

  • หากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั่วไป เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ฯลฯ สามารถใช้ Stabilizer แบบ Servo หรือ Ferro resonant ที่มีค่าความแม่นยำ ±3-5% ได้ ซึ่งจะมีขนาดที่กะทัดรัด และราคาถูกกว่า
  • หากเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้ความเที่ยงตรงของแรงดันไฟฟ้าค่อนข้างสูง เช่น คอมพิวเตอร์ ห้องเซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือแพทย์ ฯลฯ ควรใช้ Stabilizer แบบ Solid State ที่มีค่าความแม่นยำ ±2.5%-0.5% ซึ่งจะมีราคาที่สูงกว่า

 

วิธีการเลือกขนาดของเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า

การเลือกขนาด Stabilizer หรือเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสม จะขึ้นอยู่กับ กำลังไฟฟ้ารวม (วัตต์) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการต่อเข้ากับ Stabilizer และคำนวณเผื่อไว้ประมาณ 20-30% เพื่อรองรับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต โดยต้องไม่เกินขนาดกำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้ารองรับได้  ซึ่งขนาดของเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าในปัจจุบันมีดังนี้

  • เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าขนาด 3kVA / 2,400W
  • เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าขนาด 5kVA / 4,000W
  • เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าขนาด 8kVA / 6,400W
  • เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าขนาด 10kVA / 8,000W
  • เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าขนาด 20kVA / 16,000W
  • เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าขนาด 30kVA / 24,000W

 

การติดตั้ง Stabilizer จะช่วยป้องกันความเสียหายของระบบไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า รวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จากไฟตก ไฟเกิน หรือไฟกระชากได้ แต่หากปัญหาทางไฟฟ้าเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ผู้ใช้งานควรหมั่นตรวจเช็กระบบไฟฟ้าภายในบ้านว่ามีจุดที่ชำรุด เสียหายหรือไม่ โดยอาจแจ้งกับทางการไฟฟ้าฯ เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของแหล่งจ่ายไฟ รวมถึงเลือกติดตั้งระบบไฟฟ้าด้วยตู้ไฟ และ รางสายไฟ ที่ผลิตด้วยขั้นตอนและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงจากสายไฟชำรุด และการจ่ายไฟฟ้าที่ผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดไฟรั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร และอันตรายทางไฟฟ้าในระยะยาว

KJL ผู้นำนวัตกรรมตู้ไฟ รางไฟ ที่ช่างไฟเชื่อมั่น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น สอบถามข้อมูลสินค้าได้ที่

LINE Official Account: @KJL.connect หรือคลิก https://lin.ee/lzVhFfo

Facebook: facebook.com/KJLElectric