ASTM คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจภาคอุตสาหกรรม

ASTM คืออะไร?

ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ประเภทวัสดุสำหรับอุตสาหกรรม เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวัสดุรับแรงต่าง ๆ ต้องมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะสินค้าเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนโดยตรง จึงจำเป็นต้องมีการวางมาตรฐานเพื่อควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ โดยหนึ่งในมาตรฐานที่สามารถพบเจอได้บ่อย ๆ คือมาตรฐาน ASTM  ซึ่งมักจะปรากฏอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมอยู่เสมอ กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญให้ผู้ประกอบการ นำไปพิจารณาสำหรับการคัดเลือกผลิตภัณฑ์หรือวัสดุต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

เพื่อที่จะได้เข้าใจเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานดังกล่าวให้ชัดเจนขึ้น บทความนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกันว่ามาตรฐาน ASTM คืออะไร มีความเป็นมา และสำคัญต่ออุตสาหกรรมด้านไหน รวมถึงมีหลักพิจารณาการรับรองอย่างไรบ้าง

มาตรฐาน ASTM คืออะไร?

ASTM ย่อมาจาก American Society for Testing and Materials หรือสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่ส่งเสริมพร้อมสนับสนุนด้านวิชาการเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ทั้งในส่วนของรัฐและสาธารณชน อีกทั้งยังจัดทำ พร้อมพัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้องในฝั่งลักษณะการทำงานของวัสดุ, ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการบริการ

โดยมาตรฐาน ASTM คือข้อกำหนดที่จัดทำขึ้นโดยกรรมการวิชาการเฉพาะสาขา 132 คณะ เพื่อใช้ทดสอบคุณสมบัติทางเทคนิค ไปจนถึงกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ โดยในแต่ละปีจะมีการจัดพิมพ์มาตรฐานมากกว่า 9,800 หัวข้อ พร้อมทั้งยังมีการพิจารณาการทบทวน, ปรับปรุง พร้อมแก้ไขตลอดเวลา เพื่อให้มาตรฐานตลอดจนแนวทางนั้นทันสมัยอยู่เสมอ โดยสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อบังคับใช้ แต่ผู้ประกอบการต่าง ๆ สามารถเลือกที่จะรับการทดสอบได้โดยสมัครใจ

มาตรฐาน ASTM มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

ประเภทของมาตรฐาน ASTM ที่ได้ผ่านการรับรองของสมาคมฯ และประกาศใช้เป็นมาตรฐานนั้น จะถูกแบ่งเนื้อหาไปตามประเภทต่าง ๆ 6 หมวดด้วยกัน ได้แก่

1. Classification Standards

ประเภทของมาตรฐานสำหรับระบบการจัดการ พร้อมจัดแบ่งวัสดุผลิตภัณฑ์, บริการ, ระบบ หรือการใช้งานออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามคุณลักษณะที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนประกอบ, แหล่งผลิต, คุณสมบัติ และประโยชน์การใช้งาน

2. Specification Standards

ข้อกำหนดแบบตายตัวของคุณลักษณะและสมบัติต่าง ๆ ที่ต้องการในวัสดุผลิตภัณฑ์, การบริการ, ระบบ หรือการใช้งาน โดยจะแสดงออกมาในรูปแบบค่าตัวเลข อีกทั้งได้มีการระบุข้อจำกัดรวมถึงวิธีหาค่าเหล่านั้นเอาไว้ด้วย

3. Terminology Standards

มาตรฐานทางเอกสาร สำหรับกำหนดคำนิยม, คุณลักษณะ และคำอธิบายของศัพท์ต่าง ๆ ไปจนถึงเครื่องหมาย, ตัวย่อ รวมถึงคำย่อที่ใช้ในแต่ละมาตรฐาน

4. Test Method Standards

มาตรฐานที่ใช้ในตรวจสอบ, พิสูจน์ และปริมาณคุณภาพ ในแง่ของคุณลักษณะ, คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ในตัววัสดุ, ระบบ ไปจนถึงการใช้งาน โดยผลการทดสอบเหล่านี้ จะใช้เพื่อประเมินค่าตามข้อกำหนด

5. Guide Standards

มีไว้เพื่อแนะนำหรือเป็นทางเลือก สำหรับการใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่มี รวมถึงสิ่งที่จะได้จากการประเมินกับมาตรฐานที่ใช้ ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผลิตภัณฑ์

6. Practice Standards

แนวปฏิบัติสำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การเขียนรายงาน, สุ่มตัวอย่าง, ความแม่นยำ, ความละเอียด, การเลือก, เตรียม, ประยุกต์, ตรวจสอบ, ข้อความระวังในการใช้งาน, การกำจัด, ติดตั้ง, บำรุงรักษา ไปจนถึงการใช้เครื่องมือเพื่อการทดสอบ

มาตรฐาน ASTM มีความสำคัญอย่างไร?

มาตรฐาน ASTM มีความสำคัญอย่างไร?

ความสำคัญของมาตรฐาน ASTM นั้น ก็เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพและความสม่ำเสมอของวัสดุหรือระบบในภาคส่วนต่าง ๆ นั้นตรงกับข้อกำหนด แม้ว่ามาตรฐานนี้จะเป็นไปตามความสมัครใจ แต่ก็ถูกใช้เป็นสิ่งอ้างอิงเพื่อระบุในสัญญา, ข้อบังคับ, ระเบียบของภาครัฐ ไปจนถึงบัญญัติในกฎหมายด้วย ซึ่งสามารถแยกย่อยไปตามหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่

  • การประกันคุณภาพและความปลอดภัย

มาตรฐาน ASTM คือกฎเกณฑ์พื้นฐานที่อุตสาหกรรมต้องยึดถือและทำตาม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์วัสดุต่าง ๆ ที่ผลิตออกมาเป็นไปตามข้อกำหนด ช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันข้อผิดพลาดในกรณีต่าง ๆ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม

  • การส่งเสริมการค้าและอุตสาหกรรม

ASTM ช่วยในการตั้งมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้การค้าและอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น  ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสินค้าหรือวัสดุที่ใช้มีคุณภาพดีตามมาตรฐาน อีกทั้งยังช่วยทำให้ผู้ผลิตเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้ง่าย โดยไม่ต้องลงทุนเพื่อทดสอบซ้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต พร้อมทั้งเป็นการผลักดันนวัตกรรมที่สอดคล้องกับข้อกำหนดในด้านต่าง ๆ

  • การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

มาตรฐาน ASTM เป็นมาตรฐานกลางที่นักวิจัยและผู้พัฒนา สามารถยึดเป็นเกณฑ์ในการออกแบบ พร้อมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการทดลอง เพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนา อีกทั้งสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ที่มีคุณภาพ อีกทั้งความน่าเชื่อถือสูงเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น

  • การสนับสนุนกฎหมายและข้อบังคับ

ASTM ยังใช้เป็นแนวทางอ้างอิงให้กับหน่วยงานรัฐ เพื่อระบุข้อกำหนดด้านความปลอดภัย, คุณภาพ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ให้มีการคำนึงถึงคุณภาพของวัสดุและผลิตภัณฑ์ ซึ่งหลาย ๆ ประเทศได้มีการนำมาตรฐานนี้ไปใช้ในกฎหมายอุตสาหกรรม, การก่อสร้าง, ยานยนต์ ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นไปตามที่กำหนด

  • การคุ้มครองผู้บริโภค

ASTM คืออีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเป็นไปตามข้อกำหนด พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเรียกร้องสิทธิ์ เมื่อพบว่าสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน

มาตรฐาน ASTM ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม

มาตรฐาน ASTM ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม

ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials) ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กันอย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างเสริมความเชื่อมั่นในคุณภาพ, ความปลอดภัย และมาตรฐานของวัสดุ, ผลิตภัณฑ์ หรือบริการนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วมาตรฐาน ASTM สำหรับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะมีด้วยกันดังนี้

  • ASTM A123/A123M: สำหรับการเคลือบสังกะสี

ใช้กับผลิตภัณฑ์โลหะชุบกัลวาไนซ์แบบจุ่มร้อน (Hot-Dip Galvanized) ซึ่งครอบคลุมทั้งชิ้นส่วน ไปจนถึงชุดประกอบที่มีวัสดุหลากหลายประเภท ซึ่งสามารถจำแนกได้ 6 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเหล็กรูปพรรณ, เหล็กเส้นทั้งแบบกลมหรือแบน, แผ่นเหล็ก, ท่อเหล็ก, ลวดโลหะ, เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ที่ต้องนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปและชุบกัลวาไนซ์จุ่มร้อน

เช่น รางวายเวย์ (Wireway) และ รางเคเบิ้ลเทรย์ (Cable tray) รุ่น Heavy Duty Series โดย KJL ที่ผ่านกระบวนการชุบกัลวาไนซ์แบบจุ่มร้อน (Hot-Dip Galvanized) ผ่านการรับรองมาตรฐาน ASTM A123/A123M เพื่อรับรองความทนทานต่อความชื้นหรือการกัดกร่อนของอากาศ

  • ASTM E8/E8M: สำหรับการทดสอบวัสดุโลหะ

มาตรฐานสำคัญสำหรับการทดสอบแรงดึงของวัสดุโลหะ ด้วยการควบคุมคุณภาพ, เปรียบเทียบวัสดุ และพัฒนาโลหะผสม ที่จะกำหนดวิธีวัดค่าความแข็งแรงกับความเหนียวของโลหะ ตั้งแต่เส้นลวดไปจนถึงโครงสร้างขนาดใหญ่ โดยจะประกอบไปด้วยค่าความแข็งแรงคราก (Yield Strength), ความต้านทานแรงดึงสูงสุด (Tensile Strength), การยืดตัว (Elongation), รวมทั้งการลดพื้นที่หน้าตัด (Reduction in Area) โดยวัดที่อุณหภูมิห้องระหว่าง 10-38°C

โดยมาตรฐานส่วนนี้มักถูกใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอากาศยาน อย่างชิ้นส่วนรถยนต์หรือโครงสร้างเครื่องบิน อย่างไรก็ดี การทดสอบนี้ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงตัวผลิตภัณฑ์ในสภาพแวดล้อมจริง

  • ASTM A370: สำหรับการทดสอบเหล็ก

เป็นมาตรฐานการทดสอบทางกลสำหรับเหล็กกล้า, สเตนเลส และโลหะ โดยในขณะที่ ASTM E8 จะเน้นไปที่หารทดสอบแรงดึง แต่ของ A370 จะรวมถึงการทดสอบทางเคมีเพื่อตรวจหาองค์ประกอบวัสดุร่วมด้วย สำหรับมาตรฐานในด้านความแข็งแรงของหมวดนี้ก็จะประกอบไปด้วยค่าโมดูลัสยืดหยุ่น (Modulus of Elasticity), ค่าความแข็งแรงคราก (Yield Strength),  ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength), การลดพื้นที่หน้าตัด (Area Reduction) ตลอดจน การยืดตัวรวม (Total Elongation)

ซึ่งมาตรฐานนี้มีความสำคัญมากกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอากาศยาน อีกทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญในการทดสอบในด้านวิศวกรรม รวมถึงวิทยาศาสตร์วัสดุ

  • ASTM D638: สำหรับการทดสอบแรงดึงของพลาสติก

สำหรับส่วนนี้ นับเป็นมาตรฐานในฝั่งของคุณสมบัติแรงดึงของพลาสติก ทั้งรูปแบบที่เสริมและไม่เสริมแรง ซึ่งจะมีความสำคัญในการควบคุมคุณภาพการวิจัยพลาสติกที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน การตรวจวัดนี้จะทำกับวัตถุทดลองในรูปทรงดัมบ์เบลภายใต้สภาวะเฉพาะ โดยจะวัดกันที่ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength), ค่าความแข็งแรงคราก (Yield Strength), ค่าโมดูลัสยืดหยุ่น (Modulus of Elasticity) อีกทั้งการยืดตัวเมื่อขาด (Elongation at Break) ที่ความหนาของวัสดุไม่เกิน 14 มม. ซึ่งการทดสอบนี้สามารถวัดค่าอัตราส่วนของปัวซอง (Poisson’s ratio – พฤติกรรมของวัสดุเมื่อถูกแรงกดหรือแรงดึง) ได้ที่อุณหภูมิห้อง โดยจะแปรผันไปตามความหนาของวัสดุตัวอย่าง

นอกจากนี้มาตรฐานดังกล่าวยังรองรับค่ามาตรฐานฉนวนกันไฟฟ้า เป็นการรับประกันความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของพลาสติกอีกด้วย

  • ASTM E21: สำหรับการทดสอบในอุณหภูมิที่สูงขึ้น

มาตรฐานนี้คือการทดสอบแรงดึงของวัสดุโลหะในสภาวะอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้สำหรับอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัสดุต้องเจอกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ โรงไฟฟ้า อีกทั้งการผลิตเครื่องยนต์ เพื่อให้ผู้ผลิตกับวิศวกร สามารถเลือกวัสดุได้เหมาะกับการใช้งาน พร้อมรับประกันความปลอดภัยของส่วนประกอบนั้น ๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง โดยมาตรฐานนี้ ได้กำหนดวิธีการประเมินความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength), ความแข็งแรงคราก (Yield Strength), การยืดตัว (Elongation) อีกทั้งการลดพื้นที่ (Reduction of Area) 

  • ASTM E345: สำหรับการทดสอบแผ่นฟอยล์โลหะ

กำหนดไว้เพื่อการทดสอบแรงดึงของแผ่นฟอยล์โลหะ เพื่อประเมินความแข็งแรงและความเหนียวของวัสดุดังกล่าวภายใต้แรงดึง ซึ่งนอกจากจะช่วยในการเลือกหรือรับประกันคุณภาพของฟอยล์โลหะแล้ว ยังช่วยในการเปรียบเทียบ, พัฒนาโลหะผสม, ควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการออกแบบได้ โดยจะดูกันที่คุณสมบัติความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength), ความแข็งแรงคราก (Yield Strength), การยืดตัว (Elongation) อีกทั้งการลดพื้นที่ (Reduction of Area) โดยการทดสอบนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, บรรจุภัณฑ์ รวมทั้งการบินและอวกาศ

  • ASTM A615: สำหรับการเสริมคอนกรีตด้วยเหล็กเส้น

มาตรฐานนี้ มีไว้กำหนดคุณลักษณะทางกายภาพและทางกลสำหรับเหล็กเส้นที่ใช้เสริมโครงสร้างคอนกรีต เพื่อรับประกันความปลอดภัยกับความทนทานของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยมีการกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการ ตั้งแต่ความแข็งแรงคราก (Yield Strength), ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength), การยืดตัว (Elongation), คุณสมบัติการดัดโค้ง (Bend Test), ขนาดไปจนถึงรูปร่างของข้ออ้อย ที่มีผลต่อการยึดเกาะระหว่างเหล็กกับคอนกรีต รวมทั้งองค์ประกอบทางเคมี ซึ่งมีผลต่อคุณสมบัติของเหล็กเส้น

โดยมาตรฐานส่วนนี้ได้กำหนดความแข็งครากขั้นต่ำของเหล็กเส้น ที่จะมีตั้งแต่ Grade 40, Grade 60, รวม Grade 75 ซึ่งช่วยให้วิศวกรเลือกวัสดุให้เหมาะกับการใช้งานรวมถึงโครงสร้าง ซึ่งจะมีผลต่อความปลอดภัย ไปจนถึงความทนทานของโครงสร้าง

จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มาตรฐาน ASTM คือสิ่งที่จะสร้างความมั่นใจต่อคุณภาพ ตลอดจนความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งการส่งเสริมโอกาสทางการค้า ผลักดันการพัฒนานวัตกรรม, สนับสนุนกฎหมาย อีกทั้งช่วยให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ความน่าเชื่อถือสูง เพื่อเป็นผลประโยชน์ทั้งในระดับผู้บริโภคทั่วไป รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

เช่นเดียวกับ รางวายเวย์ (Wireway) และ รางเคเบิ้ลเทรย์ (Cable tray) ผลิตภัณฑ์โลหะชุบกัลวาไนซ์แบบจุ่มร้อน (Hot-Dip Galvanized) โดย KJL ผู้นำนวัตกรรมตู้ไฟ รางไฟ ที่ผ่านการทดสอบโดยอ้างอิงมาตรฐาน ASTM A123 / A123M มาพร้อมกับความแข็งแรง ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวเหล็กจากการเกิดสนิมได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการติดตั้งในทุกสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะงานที่ต้องสัมผัสความชื้นหรือการกัดกร่อนของอากาศ

KJL ผู้นำนวัตกรรมตู้ไฟ รางไฟ ที่ช่างไฟเชื่อมั่น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
สอบถามข้อมูลสินค้าได้ที่ 

LINE Official Account: @KJL.connect หรือคลิก https://lin.ee/lzVhFfo

Facebook: facebook.com/KJLElectric

Related Article บทความสาระน่ารู้อื่น ๆ

Rapid Shutdown คืออะไร? จำเป็นอย่างไรต่อโซลาร์เซลล์

Rapid Shutdown คืออะไร? จำเป็นอย่างไรต่อโซลาร์เซลล์

การชุบเคลือบผิวโลหะมีกี่แบบ? รู้จักวิธีและวัสดุยอดนิยม

การชุบเคลือบผิวโลหะมีกี่แบบ? รู้จักวิธีและวัสดุยอดนิยม

ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้ากับการป้องกันไฟดูด

ช่างไฟต้องรู้! ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้ากับการป้องกันไฟดูด