ในช่วงฤดูฝนที่อากาศมีความชื้นสูงต่อเนื่อง ไอน้ำในอากาศจะสะสมมากขึ้น ส่งผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานกลางแจ้งเกิดความเสียหายได้ง่าย เช่น การเกิดสนิม ตะไคร่น้ำ หรือเชื้อรา ซึ่งล้วนลดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ เพิ่มความเสี่ยงในการทำงาน นอกจากนี้ ความชื้นยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคผิวหนัง โรคทางเดินหายใจ และอาจก่อให้เกิดอันตรายจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ชำรุดเพราะความชื้น
สำหรับช่างไฟฟ้าที่ทำงานกลางแจ้ง การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงอย่างความชื้นจึงเป็นเรื่องจำเป็น บทความนี้จะช่วยอธิบายว่า ความชื้นในอากาศ หมายถึงอะไร พร้อมแนะนำเครื่องมือ รวมถึงการเลือกหน่วยวัดค่าที่แม่นยำ เหมาะกับการใช้งานแต่ละประเภท เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ความชื้น คืออะไร มีกี่ประเภท
ความชื้น คือ ปริมาณของไอน้ำที่ปะปนอยู่ในอากาศ ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง หากความชื้นในอากาศสูง ไม่เพียงแต่จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความชื้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้วัตถุต่าง ๆ ดูดซับความชื้นไว้มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณสมบัติและความคงทนของวัสดุนั้น ๆ โดยความชื้นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้
-
ความชื้นในอากาศ (Humidity)
ความชื้นในอากาศ คือ ปริมาณของไอน้ำ หรือน้ำในสถานะก๊าซ ซึ่งปะปนอยู่ในอากาศ หากค่าความชื้นสูง แสดงว่ามีปริมาณไอน้ำในอากาศมาก เมื่อความชื้นในอากาศสูง ไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำบนพื้นผิวที่เย็นกว่า ทำให้โลหะเกิดการกัดกร่อน เป็นสนิมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้สีที่เคลือบบนพื้นผิวต่าง ๆ พอง ลอกล่อนก่อนเวลาอันควร
-
ความชื้นในวัสดุ (Moisture)
ความชื้นในวัสดุ คือปริมาณน้ำที่ถูกกักเก็บอยู่ภายในเนื้อของวัสดุนั้น เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพก่อนเวลา เช่น การเกิดเชื้อรา การผุพังในไม้ การลดทอนความแข็งแรงของโครงสร้าง รวมถึงการเกิดสนิมในเหล็กเสริมคอนกรีต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและอายุการใช้งานของสิ่งก่อสร้างได้อย่างมาก

หน่วยวัดความชื้นที่ช่างไฟควรรู้ (Unit of Humidity)
การวัดความชื้นในอากาศก่อนติดตั้งระบบไฟฟ้ากลางแจ้ง เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ โดยหน่วยวัดความชื้นที่ช่างไฟควรรู้มีดังนี้
- หน่วยความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity): ความชื้นสัมพัทธ์ คือค่าที่บอกสัดส่วนของปริมาณไอน้ำจริงในอากาศ เมื่อเทียบกับปริมาณไอน้ำสูงสุดที่อากาศสามารถกักเก็บได้ ณ อุณหภูมินั้น ๆ มีหน่วยวัดเป็น %RH เช่น 50%RH หมายความว่า อากาศในขณะนั้นมีไอน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งของจุดอิ่มตัว
- หน่วยความชื้นสัมบูรณ์ (Absolute Humidity): ความชื้นสัมบูรณ์ คือการวัดปริมาณมวลของไอน้ำที่มีอยู่จริงในปริมาตรของอากาศ โดยมีหน่วยวัดคือ กรัมต่อลูกบาศก์เมตร (g/m³) เป็นค่าที่เหมาะกับการคำนวณทางวิศวกรรม เพราะมีความแม่นยำของปริมาณไอน้ำมากกว่า
- หน่วยความชื้นจำเพาะ (Specific Humidity): ความชื้นจำเพาะ เป็นการวัดปริมาณไอน้ำโดยคำนวณจากอัตราส่วนของมวลไอน้ำต่อมวลอากาศทั้งหมดในหน่วยกรัมต่อกิโลกรัม (g/kg) ซึ่งข้อดีที่สำคัญที่สุดคือ ค่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิหรือความดันที่เปลี่ยนไป ทำให้คำนวณปริมาณไอน้ำที่แท้จริงในอากาศได้อย่างแม่นยำ
ความชื้นในอากาศส่งผลเสียต่อระบบไฟฟ้าอย่างไร
ความชื้นในอากาศ คือปัจจัยสำคัญที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์กลางแจ้ง โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าที่ไวต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้มีความเสี่ยงต่อการชำรุดหรือทำงานผิดปกติ โดยผลเสียหลัก ๆ ที่ควรรู้มีดังนี้
- การกัดกร่อน: ความชื้น คือตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีที่ทำให้ชิ้นส่วนโลหะเกิดสนิม โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นมุมอับ เช่น รอยต่อ หัวน็อต สกรู หรือเหลี่ยมมุมต่าง ๆ ตู้เหล็กที่ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าเมื่อเกิดสนิมจะสูญเสียความแข็งแรง และไม่สามารถป้องกันอุปกรณ์ภายในจากปัจจัยภายนอกได้ดีเท่าเดิม
- กระแสรั่วไหล (Leakage Current): ความชื้นในอากาศยังลดทอนประสิทธิภาพของฉนวนไฟฟ้า เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกระแสรั่วไหล (Leakage Current) ทำให้กระแสไฟฟ้าสามารถรั่วไหลออกนอกวงจรได้ ดังนั้นการติดตั้งระบบไฟฟ้าจึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ทนทาน มีการป้องกันที่เหมาะสม เช่น ราง Cable Tray พร้อมฝาปิด เพื่อปกป้องสายไฟจากความชื้นและน้ำโดยตรง
- อายุการใช้งานของอุปกรณ์สั้นลง: ความชื้นจะเร่งการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการทำให้ฉนวนหุ้มสายไฟแข็งกระด้าง เปราะแตกง่าย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร สร้างความเสียหายโดยตรงต่อชิ้นส่วนสำคัญ ส่งผลให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานสั้นลง เพิ่มค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง

เครื่องมือวัดความชื้นสำหรับช่างไฟมีอะไรบ้าง
เมื่อเข้าใจแล้วว่า ความชื้น คืออะไร ก่อนการติดตั้งระบบไฟฟ้าทุกครั้ง จึงควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการวัดความชื้น เพื่อประเมินสภาพแวดล้อมก่อนการติดตั้ง ป้องกันปัญหาความชื้นที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า โดยเครื่องมือที่นิยมใช้งาน ได้แก่
- เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น (Thermo-hygrometer): เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับช่างไฟ เพราะสามารถวัดได้ทั้งอุณหภูมิ รวมถึงความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศพร้อมกัน ช่วยให้ประเมินสภาพแวดล้อมโดยรวมของพื้นที่ทำงานได้อย่างแม่นยำ
- เครื่องวัดความชื้นในวัสดุ (Moisture Meter): ใช้ตรวจวัดความชื้นในวัสดุต่าง ๆ เช่น ไม้ ปูนซีเมนต์ หรือวัสดุผนังอื่น ๆ เหมาะสำหรับงานติดตั้งอุปกรณ์บนโครงสร้างเหล่านี้ เพราะความชื้นที่สะสมอาจส่งผลต่อการเดินสายไฟและความทนทานของอุปกรณ์
- เครื่องวัดอุณหภูมิจุดน้ำค้าง (Dew Point Meter): ใช้หาค่าอุณหภูมิที่ไอน้ำในอากาศจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ซึ่งช่างไฟสามารถนำค่านี้มาประเมินความเสี่ยงของการเกิดหยดน้ำภายในตู้ควบคุมหรือบนอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ
โดยสรุปแล้ว ความชื้นในอากาศ หมายถึง ปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในบรรยากาศ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ยิ่งมีความชื้นสูง ก็ยิ่งส่งผลต่อทั้งสภาพอากาศและการดูดซึมน้ำของวัสดุ ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ติดตั้งระบบไฟฟ้า ควรเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น เหล็กชุบกัลวาไนซ์สำหรับงานเดินสายไฟ หรืออุปกรณ์พลาสติก ABS 100% ที่กันน้ำ ไม่เป็นสนิม น้ำหนักเบา ไม่เปราะแตก เหมาะสำหรับงานติดตั้งบนที่สูง ซึ่งมักมีความชื้นสะสม
มองหารางวายเวย์ รางเคเบิลเทรย์ รางเคเบิลแลดเดอร์ รางเทรย์งานเบา ที่มีคุณภาพ ทนทานต่อทุกสภาพแวดล้อม แนะนำ KJL Heavy Duty Series สินค้าชุบฮอตดิปกัลวาไนซ์ ที่ความหนาเฉลี่ย 45–60 ไมครอน ตามมาตรฐาน ASTM A123 / A123M เพื่อให้ทุกงานติดตั้งระบบไฟฟ้าปลอดภัย ทนแดด ทนฝน นอกจากนี้ ยังมีสินค้าพลาสติก ABS 100% ทั้งตู้ไฟพลาสติกกันน้ำ บ็อกซ์พลาสติกกันน้ำ กล่องพักสายสี่เหลี่ยม และบ็อกซ์ลอยพลาสติก ที่ผลิตตามมาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน ตอบโจทย์การใช้งานทุกประเภท
KJL ผู้นำนวัตกรรมตู้ไฟ รางไฟ ที่ช่างไฟเชื่อมั่น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
สอบถามข้อมูลสินค้าได้ที่
LINE Official Account: @KJL.connect หรือคลิก https://lin.ee/lzVhFfo
Facebook: facebook.com/KJLElectric
