เหตุเพลิงไหม้เป็นหนึ่งในอุบัติเหตุที่สร้างความเสียหายร้ายแรง ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และการดำเนินงานของหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมหรือภาคครัวเรือน แม้ว่าเราไม่สามารถป้องกันไฟไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ 100% แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีด้านการออกแบบอาคารที่ช่วยชะลอการลุกลามของไฟ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญนั้นคือ Fire Barrier System
ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจให้ลึกยิ่งขึ้นว่า Fire Barrier System คืออะไร ทำไมองค์กรและโรงงานอุตสาหกรรมควรให้ความสำคัญ พร้อมเจาะลึกประเภทของวัสดุกันไฟลาม วิธีการติดตั้งที่เหมาะสม รวมถึงหลักการเลือกใช้ให้ตอบโจทย์ความปลอดภัยของอาคารแต่ละประเภท
Fire Barrier คืออะไร
Fire Barrier คือการออกแบบโครงสร้างภายในอาคารให้มีอัตราการทนไฟ (Fire Rating) ตามมาตรฐาน เพื่อสกัดกั้นการลุกลามของไฟและการแพร่กระจายของควัน ช่วยชะลอความรุนแรงของเหตุเพลิงไหม้ ลดโอกาสที่ควันหรือเปลวไฟจะทะลุไปยังพื้นที่อื่น ทำให้สามารถควบคุมเพลิงได้ง่ายขึ้นและจำกัดความเสียหายให้น้อยที่สุด จึงมักถูกนำมาใช้ในการออกแบบอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรการความปลอดภัยขั้นสูง
Fire Barrier สามารถป้องกันไฟและควันลามได้อย่างไร
Fire Barrier System คือการติดตั้งวัสดุที่มีคุณสมบัติกันไฟลาม เช่น แผ่นแคลเซียมซิลิเกต แผ่นยิปซัมกันไฟ หรือคอนกรีต เป็นผนังหรือโครงสร้างกั้น โดยมีการจัดวางและแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เปลวไฟหรือควันไฟแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ช่วยจำกัดขอบเขตของเพลิงไหม้ให้อยู่ในวงแคบ ลดความเสียหาย เพิ่มเวลาในการอพยพผู้อยู่อาศัย โดยทำงานผ่านองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
- การสร้างขอบเขตที่สมบูรณ์ (Creating a Complete Boundary)
สร้างแนวป้องกันต่อเนื่องไร้รอยต่อ โดยใช้โครงสร้างหลักของอาคาร เช่น ผนังทนไฟ พื้นทนไฟ ซึ่งทำจากวัสดุที่ผ่านการทดสอบและรับรองด้านความสามารถกันไฟลาม เพื่อสกัดกั้นเปลวไฟ ความร้อน หรือควัน ไม่ให้ทะลุผ่านไปยังพื้นที่อื่น
- การใช้วัสดุที่มีอัตราการทนไฟ (Using Fire-Rated Materials)
ส่วนประกอบของ Fire Barrier ต้องมีอัตราการทนไฟ (Fire Rating) ตามมาตรฐาน เพื่อให้สามารถป้องกันไฟได้ในระยะเวลาที่กำหนด ช่วยให้มีเวลาพอสำหรับการอพยพและการควบคุมเพลิง โดยวัสดุที่นิยมใช้ เช่น คอนกรีตเสริมเหล็ก แผ่นยิปซัมชนิดทนไฟ หรือวัสดุพองตัวเมื่อโดนความร้อน (Intumescent Materials)
- การปิดผนึกช่องเปิดและรอยต่อ (Sealing of Penetrations)
โดยทั่วไป พื้นที่กันไฟมักมีช่องสำหรับระบบต่าง ๆ เช่น ท่อร้อยสายไฟ ท่อประปา หรือท่อปรับอากาศ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ไฟหรือควันสามารถเล็ดลอดได้ง่าย การใช้วัสดุกันไฟลาม (Firestop) จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการปิดผนึกช่องว่างเหล่านี้ เพื่อป้องกันการลุกลามอย่างสมบูรณ์
วัสดุกันไฟลาม ในงานระบบไฟฟ้ามีอะไรบ้าง

ในงานระบบไฟฟ้า วัสดุกันไฟลาม (Firestop) มีหลากหลายประเภทที่ช่างไฟจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เพื่ออุดช่องเปิดที่เกิดจากการเดินสายไฟหรือท่อร้อยสายไฟ ป้องกันไม่ให้ไฟและควันลามจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวัสดุหลักๆ ที่นิยมใช้ ได้แก่
- ยาแนวกันไฟ (Firestop Sealant / Caulk): วัสดุลักษณะคล้ายซิลิโคนหรืออะคริลิก ใช้สำหรับอุดช่องว่างขนาดเล็กถึงขนาดกลางรอบ ๆ ท่อร้อยสายไฟ รวมถึงสายเคเบิลที่ทะลุผ่านผนังหรือพื้น วัสดุประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติแบบ Intumescent คือจะพองตัวและขยายปริมาตรเมื่อโดนความร้อนสูง เพื่ออุดช่องว่างให้แน่นหนายิ่งขึ้น
- โฟมกันไฟ (Firestop Foam): โฟมโพลียูรีเทนชนิดพิเศษ ที่ขยายตัวและแข็งตัวเมื่อฉีดเข้าไปในช่องว่าง เหมาะสำหรับอุดช่องเปิดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือช่องเปิดที่มีรูปร่างซับซ้อน
- ปูนกันไฟ (Firestop Mortar): วัสดุคล้ายปูน ใช้ผสมน้ำแล้วฉาบหรือเทลงในช่องเปิด เหมาะสำหรับช่องเปิดขนาดใหญ่ที่ต้องการความแข็งแรงทนทาน เช่น บริเวณที่สายไฟ รางเคเบิลจำนวนมากทะลุผ่าน หรือช่องเปิดระหว่างชั้น
- แผ่นปิดกันไฟ (Firestop Board / Sheet): แผ่นกระดานที่ทำจากวัสดุประเภทแร่ใย (Mineral Wool) หรือวัสดุคอมโพสิตกันไฟ ใช้สำหรับปิดช่องเปิดขนาดใหญ่ที่ยากต่อการอุดด้วยยาแนวและโฟม สามารถตัดให้เข้ารูปกับช่องเปิดได้ง่าย จากนั้นจึงยึดติดด้วยสกรูพร้อมเก็บความเรียบร้อยตามขอบด้วยวัสดุยาแนว
- หมอนกันไฟ / บล็อกกันไฟ (Firestop Pillow / Block): วัสดุที่สามารถนำมาจัดเรียงเพื่ออุดช่องเปิดได้ง่าย มีข้อดีคือสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะสำหรับบริเวณที่มีการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงการเดินสายไฟบ่อยครั้ง เช่น ในห้องไฟฟ้า และช่องทางเดินของรางเคเบิลเทรย์
ระบบอื่น ๆ ในการป้องกันอัคคีภัย
การป้องกันอัคคีภัยเป็นระบบที่ต้องอาศัยหลายองค์ประกอบทำงานร่วมกัน นอกเหนือจาก Fire Barrier ที่เป็นการป้องกันเชิงรับ (Passive) ยังมีระบบเชิงรุก (Active) และส่วนประกอบอื่นๆ ที่สำคัญ ดังนี้
- ระบบตรวจจับควันและสัญญาณเตือนภัย (Smoke & Fire Alarm System): ทำหน้าที่ตรวจจับความผิดปกติด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับควันหรือความร้อน พร้อมส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและไฟสัญญาณที่ชัดเจน
- ระบบฉีดน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ (Sprinkler): ช่วยในการจำกัดการลุกลามของไฟ เมื่อหัวฉีดน้ำรับอุณหภูมิความร้อนถึงที่กำหนด เพื่อให้สามารถดับเพลิงได้เฉพาะจุดอย่างแม่นยำ
- ทางหนีไฟและการวางแผนหลบหนี: อาคารควรมีแผนการอพยพที่ชัดเจน รวมถึงการซ้อมหนีไฟเป็นประจำ โดยติดป้ายเพื่อระบุตำแหน่งของทางหนีไฟให้ชัดเจน
- เลือกใช้วัสดุกันไฟลามในส่วนสำคัญของอาคาร: เลือกใช้วัสดุตกแต่งภายใน เช่น ผนังฝ้าเพดาน พรม หรือเฟอร์นิเจอร์ ที่เป็นชนิดติดไฟยาก (Fire Retardant)
- โครงสร้างอาคารที่สามารถทนไฟ: โครงสร้างหลักของอาคาร เช่น เสา คาน พื้น ผนัง ต้องถูกออกแบบและสร้างจากวัสดุที่ทนไฟได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่น การใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก หรือการพ่น/หุ้มด้วยวัสดุทนไฟ (Fireproofing) บนโครงสร้างเหล็ก
- ระบบดับเพลิงและระบบควบคุมควันไฟที่ได้มาตรฐาน: ติดตั้งระบบดับเพลิง เช่น ท่อยืน หัวรับน้ำดับเพลิง รวมถึงระบบควบคุมควันไฟตามจุดต่าง ๆ ในอาคารอย่างเหมาะสม

ตำแหน่งที่ต้องติดตั้ง Fire Barrier System
ภายในอาคารมักมีช่องว่างหรือจุดที่ปิดไม่สนิท ซึ่งจำเป็นต้องติดตั้ง Fire Barrier System ให้ถูกตำแหน่งและเหมาะกับการใช้งาน โดยจุดสำคัญที่ควรเสริมวัสดุกันไฟลาม ได้แก่
- บริเวณฝ้าเพดานและช่องเปิดเหนือผนัง: ช่องว่างเหนือผนังที่กั้นไม่ถึงท้องพื้นคอนกรีต ถือเป็นช่องทางหลักที่ไฟสามารถลามไปยังบริเวณใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็ว ควรใช้แผ่นทนไฟ (Firestop Board) ที่ทำจากแร่ใยความหนาแน่นสูง ให้ความแข็งแรงและคงสภาพการเป็นแนวกันไฟของผนังได้อย่างสมบูรณ์
- ช่องว่างในแนวตั้ง เช่น ท่อลม หรือท่อร้อยสายไฟ: ช่อง Shaft เป็นช่องเปิดแนวดิ่งขนาดใหญ่ที่ไฟสามารถลุกลามระหว่างชั้นได้อย่างรวดเร็ว แต่มักไม่มีการปรับเปลี่ยนการเดินสายไฟบ่อย จึงควรใช้ปูนกันไฟ (Firestop Mortar) ที่มีความแข็งแรงสูง สามารถปิดช่องว่างได้อย่างถาวร
- รอยต่อระหว่างพื้นกับผนัง หรือผนังกับผนัง: รอยต่อเหล่านี้เป็นช่องว่างที่อาจมองไม่เห็น แต่ควันสามารถเล็ดลอดผ่านได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกิดการสั่นไหวหรือการขยับตัวของโครงสร้างอาคาร จึงต้องใช้ยาแนวกันไฟ (Firestop Sealant) ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับการเคลื่อนตัวของโครงสร้างได้โดยไม่ฉีกขาด
- ช่องทางเดินสายไฟ/สายสื่อสารระหว่างชั้น: ช่องเดินสายไฟหรือสายสื่อสารมักมีการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงการเดินสายไฟบ่อยกว่าจุดอื่น จึงไม่เหมาะกับการติดตั้ง Fire Barrier แบบถาวร โดยประเภทที่แนะนำคือ หมอนกันไฟ หรือบล็อกกันไฟ ที่สามารถติดตั้งและรื้อถอนได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ สะดวกต่อการซ่อมบำรุงในระยะยาว นอกจากนี้ เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกเดินสายไฟในรางวายเวย์ที่ปิดมิดชิด ช่วยป้องกันสายไฟจากความร้อนและสิ่งแปลกปลอม
- ช่องทางที่อุปกรณ์ทะลุผ่าน เช่น ท่อน้ำหรือท่อแอร์: ท่อเหล่านี้เมื่อทะลุผ่านผนังหรือพื้นทนไฟ จะสร้างช่องว่างรอบๆ ท่อ ซึ่งเป็นจุดเสี่ยง สำหรับท่อพลาสติก เช่น ท่อ PVC ที่อาจหลอมเหลวได้เมื่อโดนความร้อน ควรเลือกใช้วัสดุพองตัวอย่างโฟมกันไฟ (Firestop Foam) เพื่อให้ขยายตัวเข้ามาอุดช่องว่างที่เกิดขึ้นทันที ส่วนท่อโลหะที่มีความทนทานกว่า สามารถใช้ยาแนวกันไฟอุดช่องว่างรอบท่อเพื่อป้องกันไม่ให้ควันหรือเปลวไฟลอดผ่านได้
- ช่องเปิดหรือช่องลอด ที่เตรียมการไว้สำหรับติดตั้งระบบท่อ: ช่องเปิดที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่ยังไม่มีการติดตั้งงานระบบใด ๆ ควรใช้บล็อกกันไฟสำหรับติดตั้งชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นจุดอ่อนของแนวกันไฟ แต่ยังสามารถติดตั้งหรือรื้อถอนประกอบได้ง่ายโดยไม่กระทบต่อโครงสร้าง
โดยสรุปแล้ว Fire Barrier คืออะไร? คำตอบคือ แนวป้องกันอัคคีภัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่องานระบบไฟฟ้า เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายให้รุนแรงน้อยลง ซึ่งนอกจากการติดตั้งวัสดุกันไฟลามแล้ว การเลือกอุปกรณ์เดินสายไฟที่ได้มาตรฐาน ทนทาน ไม่เกิดสนิม ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้น ช่างไฟจึงควรเลือกรางเดินสายไฟคุณภาพสูง เพื่อให้ระบบไฟฟ้าโดยรวมมีความปลอดภัยและอายุการใช้งานที่ยาวนาน
รางเดินสายไฟจาก KJL ไม่ว่าจะเป็น ราง Wireway ราง Cable Tray และราง Cable Ladder ผลิตจากเหล็กแผ่นขาวคุณภาพสูง เคลือบสีฝุ่นด้วยเทคโนโลยี Electrostatic Powder Coatings ให้สีสม่ำเสมอ ปราศจากสาร VOCs เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีให้เลือกหลายขนาด รองรับมาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้า อีกทั้งยังควบคุมการผลิตด้วยระบบ CNC แข็งแรง ทนทาน ช่วยจัดระเบียบสายไฟให้ปลอดภัยและเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานให้แก่งานติดตั้ง
KJL ผู้นำนวัตกรรมตู้ไฟ รางไฟ ที่ช่างไฟเชื่อมั่น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
สอบถามข้อมูลสินค้าได้ที่
LINE Official Account: @KJL.connect หรือคลิก https://lin.ee/lzVhFfo
Facebook: facebook.com/KJLElectric
